ธรรมชาติของภาษาและลักษณะของภาษาไทย
ธรรมชาติของภาษาและลักษณะของภาษาไทย
ธรรมชาติของภาษา
คนมีอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงและการฟังเสียงเป็นปกติและเป็นสมาชิกของสังคมหนึ่ง
ต้องพูดภาษาอย่างน้อยหนึ่งภาษา แม้แต่ผู้ที่อวัยวะในการพูดและการฟังบกพร่องก็ยังคิดภาษามือขึ้นเพื่อสื่อสารระหว่างกัน ลองนึกดูว่าตั้งแต่เช้าจนเข้านอน เราใช้ภาษาอะไรบ้างในแต่ละวัน ดูเหมือนแทบจะไม่มีกิจกรรมใดในสังคมที่เราทำได้โดยไม่อาศัยภาษา ผู้ที่เคยมีประสบการณ์ไปอยู่ในสังคมที่พูดภาษาอื่นทำให้ไม่สื่อสารระหว่างกันได้ คงจะทราบดีว่ารู้สึกอึดอัดเพียงใดหากปราศจากภาษา เราอาจใช้การแสดงท่าทางเพื่อสื่อความบางอย่าง เช่น สั่งอาหารหรือถามเส้นทาง แต่กว่าจะเข้าใจกันได้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนกิจกรรมที่ซับซ้อนกว่านั้น เช่น การบอกเล่าเรื่องราวหรือการแสดงความคิดเห็น ฯลฯ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
นักภาษาศาสตร์กล่าวไว้ว่า ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อทำกิจกรรมต่างๆในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์อื่นๆ และเมื่อพูดถึงธรรมชาติของภาษามนุษย์ประเด็นที่ทุกคนจะต้องกล่าวถึงก็คือ ภาษาประกอบด้วยเสียงและความหมาย มาถึงตรงนี้ผู้ที่เคยได้ยินเรื่องการสื่อสารของสัตว์อาจมีคำถามว่า ภาษามนุษย์ต่างไปจากการสื่อสารของสัตว์อย่างไร
สัตว์บางชนิดไม่ได้ใช้เสียงแต่ใช้สิ่งอื่นๆในการสื่อสาร เช่น กลิ่น สารเคมีที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย สี แสง ท่าทาง ฯลฯ ตัวอย่างเช่น สุนัขตัวผู้ปัสสาวะไว้ตามที่ต่างๆเพื่อบอกอาณาเขตของตน ซึ่งพฤติกรรมนี้ไม่สามารถพบได้ในมนุษย์
ลักษณะของภาษา
นักภาษาศาสตร์ประมาณว่า ภาษที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันในปัจจุบันมีจำนวนตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ถึง๘,๐๐๐ ภาษา ภาษาเหล่านี้มีลักษณะรวมกันพอสรุปได้ดังนี้
๑.ผู้พูดภาษาเป็นได้ทั้งผู้ส่งสารและรับสาร
๒.ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและความหมายเป็นสิ่งที่ตกลงกันในแต่ละภาษา
๓.มนุษย์ใช้ภาษาเพื่อบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาหรือสถานที่อื่นๆได้
๔.มนุษย์สามารถสร้างและเข้าใจประโยคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเพื่อสื่อเรื่องใดก็ได้ตลอดเวลา
๕.หน่วยในภาษามนุษย์ประกอบกันเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้น
๖.มนุษย์ใช้ภาษาพูดไร้สาระหรือพูดสิ่งที่เป็นเท็จได้
๗.มนุษย์เรียนรู้ภาษาอื่นๆนอกจากภาษาเมื่อของตนได้
๘.มนุษย์ใช้ภาษาในการวิจารณ์ระบบการสื่อสารของตนเอง
จะเห็นได้ว่าภาษามนุษย์มีความพิเศษกว่าระบบการสื่อสารของสัตว์ชนิดอื่นๆและมนุษย์ใช้ภาษาเพื่อทำกิจกรรมแทบจะทุกอย่างในสังคมเนื่องจากภาษาเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งต่อการดำเนินชีวิต เราจึงควรฝึกฝนให้สามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนั้นเราก็น่าจะเข้าใจธรรมชาติของเครื่องมือนี้ด้วย
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา
๑.บางภาษาไม่มีไวยากรณ์
"ภาษาไทยไม่มีไวยากรณ์" ขยายความว่า ภาษาที่มีไวยากรณ์เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาละติน ภาษาอังกฤษ หรือภาษาฝรั่งเศส จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปเพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์ ต่างๆ
เช่นคำนามในภาษาอังกฤษต้องมีการเติม s ท้ายคำเพื่อแสดงพหูพจน์
แม้ภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเหมือนในภาษาสันสกฤตหรือภาษาอังกฤษ แต่ไม่ใช้ว่าเราจะนำคำใดก็ได้มาเรียงกันโดยไม่มีหลักเกณฑ์
๒.บางภาษามีเสียงไพเราะว่าภาษาอื่น
ตำราภาษาไทยบางเล่มกล่าวว่า "ภาษาไทยมีความไพเราะ เพราะมีเสียงวรรณยุกต์สูงต่ำคล้ายเสียงดนตรี นอกจากนี้ก็มีจังหวะและความคล้องจอง"
๓.บางภาษามีความประณีตกว่าภาษาอื่น
ที่จริงแล้ว การที่บางภาษาใช้ลักษระนามหรือบางภาษาแสดงการจำแนกกลุ่มคำนามด้ววิธีต่างๆก้มิได้หมายความว่าภาษาเหล่านี้มีความประณีตกว่าภาษาอื่นๆการจำแนกกลุ่มคำนามเพียงแต่สะท้อนให้เห็นการมองโลกของผู้พูดภาษานั้นๆ
ทุกภาษามีไวยากรณ์ ไม่มีภาษาใดพิเศษกว่า ไพเราะกว่า หรือปราณีตกว่าภาษาอื่นเราจึงควรศึกษาภาษาไทยและฝึกฝนจนใช้ภาษาไทยเพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพราะภาษาไทยมีความพิเศษหรือดีเด่นกว่าภาษาอื่นๆ แต่เพราะภาษาไทยเป็นเครื่องมือที่เรใช้ในการสื่อสารเพื่อทำกิจกรรมแทบทุกอย่างในชีวิต
ลักษณะภาษาไทย
ภาษานั้นมีหลายลักษณะรวมกัน อย่างไรก็ตามแต่ละภาษาก็มีส่วนที่แตกต่างกันด้วย เช่นภาษาละตินมีไวยากรณ์ที่แตกต่างกัน บางภาษามีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ไวยากรณ์แต่ภาษาไทยไม่มี
ภาษาไทยเป็นภาษาในตระกูลไท
นักภาษาศาสตร์จัดภาษาที่มีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายไว้ในกลุ่มเดียวกันหรือที่เรียกว่า
" ตระกูลภาษา" ภาษาไทยถูกจัดเก็บไว้ในตระกูลไทเช่นเดียวกับภาษาลาว การจัดเก็บภาษาต่างๆไว้ในตระกูลเดียวกันนั้นต้องอาศัยหลักฐานทางเสียงที่ยืยยันความสัมพันธ์ทางเชื้อสายไม่ใช่ทางภูมิศาสตร์ ภาษาต่างๆที่พูดอยู่บริเวณใกล้เคียงกันอาจไม่มีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายก็ได้
ภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด(isolating language)
นักภาษาศาสตร์จำแนกภาษาในกลุ่มโดยอาศัยเกณฑ์ด้านหน่วยคำด้วยเกณฑ์นี้ทำให้จำแนกภาษาออกได้เป็น ๓ กลุ่ม
๑.ภาษาคำโดด (isolating language)ภาษากลุ่มนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหนึ่งหน่วยคำ
๒.ภาษาคำติต่อ(agglutinating language) ภาษาในกลุ่มนี้มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์
๓.ภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำ(fusional language)ภาษาในกลุ่มนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์เช่นเดียวกับภาษาในกลุ่มที่สอง
ระบบเสียงภาษาไทย
เสียงพยัญชนะในภาษาไทยมี ๒๑ เสียง อาจจำตามลำดับตัวอักษรภาษาไทยก็ได้ หรืออาจจำเป็นกลุ่มตามลักษระการออกเสียงก็ได้
กลุ่มเสียงกักหรือเสียงระเบิด /p/ หรือ /ป/
/ph/ หรือ /พ/
/b/ หรือ /บ/
/t/ หรือ /ต/
/th/ หรือ /ท/
/d/ หรือ /ด/
/c/ หรือ /จ/
/ch/ หรือ /ช/
/k/ หรือ /ก/
/kh/ หรือ /ค/
/f/ หรือ /ฟ/
/s/ หรือ /ส/
/h/ หรือ /ฮ/
กลุ่มเสียงนาสิก /m/ หรือ /ม/
/n/ หรือ /น/
/ng/ หรือ /ง/
กลุ่มเสียงข้างลิ้น /l/ หรือ /ล/
/r/ หรือ /ร/
กลุ่มเสียงกึ่งสระ /w/ หรือ /ว/
/y/ หรือ /ย/
เสียงสระ
เสียงสระในภาษาไทยมี ๒๑ เสียง จำแนกได้ ๒ ประเภท คือ สระเดี่ยวและสระผสม(เกิดจากเสียงสระเดี่ยว ๒ เสียง)
สระเดี่ยวในภาษาไทยมี ๑๘ เสียงแบ่งเป็นสระเสียงสั้น ๙ เสียง และสระเสียงยาว ๙เสียง
แบ่งเสียงสระตามส่วนและระดับของลิ้นในการออกเสียง
ระดับลิ้น | สระหน้า | สระกลาง | สระหลัง |
สูง | /อิ/ /อี/ | /อึ/ /อื/ | /อุ/ /อู/ |
กลาง | /เอะ/ /เอ/ | /เออะ/ /เออ/ | /โอะ/ /โอ/ |
ต่ำ | /แอะ/ /แอ/ | /อะ/ /อา/ | /เออะ/ /เออ/ |
ส่วนสระผสม ๓ เสียงได้แก่
/เอีย/ (/อี/ + /อา/) /เอือ/(/อื/ + /อา/) /อัว/(/อู/ + /อา/)
เสียงวรรณยุกต์
ภาษาที่ไม่มีเสียงวรรณยุกต์ ที่รู้จักกันดี เช่นภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศษ ภาษาเยอรมัน ภาษาเหล่านี้ไม่ได้แยกเสียงสูงต่ำในระดับคำเพื่อแยกความหมาย เสียงวรรณยุกต์แบ่งได้ ๒ กลุ่มคือ วรรณยุกต์ระดับ ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงตรี และวรรณยุกต์เปลี่ยนระดับได้แก่ เสียงโท และเสียงจัตวา
พยางค์
พยางค์ คือกลุ่มของเสียงหนึ่งที่มีความดังกว่าเสียงอื่นๆ สำหรับในภาษาไทยนั้นพยางค์ต้องประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ จะมีหรือไม่มีเสียงพยัญชนะท้ายก็ได้ และหากพยัญชนะท้ายต้องเป็นเสียงเดียวเสมอ ส่วนเสียงพยัญชนะต้นนั้น อาจมี ๒ เสียงควบกันได้ แต่เสียงพยัญชนะต้นเสียงที่ ๒ ต้องเป็นเสียง /ร/ /ล/หรือ /ว/ เท่านั้น
คำและการสร้างคำในภาษาไทย
นิยามของพยางค์คือ กลุ่มของเสียงที่มีเสียงหนึ่งเด่นกว่าเยสียงอื่น ลักษณะของพยางค์ในภาษาไทยนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสละ และเสียงวรรณยุกต์
ภาษาไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ไวยากรณ์ แต่ก็มีการประกอบคำที่อยู่ในภาษาเข้าด้วยกันเป็นคำใหม่ด้วยวิธีต่างๆ วิธีการประกอบคำที่ใช้มากในภาษาไทย คือ การประสมคำ การซ้อนคำ และการซ้ำคำ ตัวอย่างเช่น คำว่า ตา ประสมกับคำว่า แว่น ก็ได้คำประสม แว่นตาคำมูล ส่วนคำที่เกิดจากการประกอบคำเข้าด้วยกันด้วยวิธีการผสมคำ เรียกว่า คำประสม คำที่เกิดจากวิธีซ้อนคำก็คือ คำซ้อน และคำทั่เกิดจากวิธีซ้ำคำก็คือ คำซ้ำ คำทั้ง ๓ ชนิดมีลักษณะที่น่าสนใจดังนี้ เราเรียกคำที่ยังไม่ได้ประกอบเข้ากับคำอื่นว่า
- คำประสม
ไม่ใช่ความหมายที่มาจากการรวมความหมายของคำต่างๆ ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นความหมายที่ได้มาจากคำทั้งสองรวมกัน คาประสมอาจมาจากคำชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันก็ได้
- คำซ้อน
คำซ้อนในภาษาไทยแบ่งได้เป็น ๒ กลุ่ม คือ คำซ้อนเพื่อความหมาย และคำซ้อนเพื่อเสียง บางคนจัดให้คำซ้อนเพื่อความหมายเป็นคำประสมชนิดหนึ่งเพียงแต่คำที่นำมาประกอบกันเป็นคำที่มีความหมายเหมือนกัน มีความหมายใกล้เคียงกัน หรือมีความหมายครงกันข้ามกัน
- คำซ้ำ
การซ้ำคำเป็นลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของภาษาไทย คือการนำคำเดียวกันมากล่าวซ้ำเพื่อสะดวกในการออกเสียง บอกความเป็นพหูพจน์ หรือต้องการเน้นน้ำหนักความหมายของคำให้หนักแน่นขึ้น หรือคำมีน้ำหนักเบาลง
- ลำดับคำในประโยคบอกหน้าที่คำ
ในภาษาไทยลำดับคำในประโยคเป็นเรื่องสำคัญ คำบางคำทำหน้าที่หลายหน้าที่และภาษาไทยก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ไวยากรณ์
- ภาษาไทยเป็นภาษาที่เรียงลำดับ ประธาน-กริยา-กรรม
คำนามในประโยคทำหน้าที่ประธานหรือกรรมได้จากตำแหน่งในประโยคค้วย คำนามที่ปรากฎหน้ากริยาทำหน้าที่ประธาน และคำนามที่ปรากฎหลังกริยาสกรรมทำหน้าที่กรรม
- ประโยคที่ได้เรียงลำดับ ประธาน-กริยา-กรรม
ภาษาไทยมีประโยคที่ขึ้นต้นด้วยคำกริยา ที่นักไวยากรณ์เรียกว่า ประโยคกริยา คำกริยาที่ขึ้นต้นประโยคได้มีหลายคำ
คำลงท้ายชนิดต่างๆในภาษาไทย
ผู้ที่วิเคราะห์ภาษาไทยโดยอาศัยไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นเกณฑ์จะกล่าวถึงคำกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทราบว่าควรจัดไว้ในหมวดใด คำเหล่านี้ได้แก่ ซิ ละ นะ เถอะ หรอก ค่ะ ครับ จ้ะ จ๋า เป็นต้น ทั้งนี้เพราะคำในภาษาอังกฤษไม่มีคำเหล่านี้ คำเหล่านี้เป็นลักษณะหนึ่งที่น่าสนใจในภาษาไทย สิ ละ นะ เถอะ หรอก นั้ เราใส่ไว้ท้ายประโยคเพื่อบอกเจตนา
ภาษาไทยเป็นภาษาในตระกูลไท และเป็นภาษาในกลุ่มภาษาคำโดซึ่งเป็นลักษณะที่สำคัญ คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปคำเพื่อแสดงหน้าที่ทางไวยากรณ์ ระบบเสียงภาษาไทยประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ พยางค์ในภาษาไทยต้องประกอบด้วยเสียงทั้งสามชนิดนี้ ส่วนคำในภาษาไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คำยืมมักเป็นคำพยางค์เดียว การประกอบคำเป็นคำใหม่ใช้วิธีการผสมคำ การซ้อนคำ และการซ้ำคำ การประกอบคำเข้าเป็นประโยคมีลำดับที่ตายตัว คือเรียง ประธาน-กริยา-กรรม เราทราบหน้าที่ของคำในภาษาไทยได้จากตำแหน่งของประโยค